ปวดเท้า (Foot pain)
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
ปวด/เจ็บเท้า เป็นอาการพบบ่อยในทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ สาเหตุที่ทำให้ปวดเท้าที่พบบ่อย คือ ใส่รองเท้าไม่เหมาะสม รัด หรือ หลวมเกินไป ใช้เท้ามากเกินเหตุโดยไม่ได้พักเท้า มีตาปลา หรือมีหูดที่เท้า มีรูปเท้าผิดปกติตั้งแต่เกิด ฝ่าเท้าแบนผิดปกติ
สาเหตุอื่นที่พบได้ คือ เอ็น และ/หรือเนื้อเยื่อต่างๆของเท้าอักเสบจากใช้เท้ามากเกินเหตุ มีโรคข้ออักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ โรคเกาต์ มีปุ่มกระดูกงอกที่เท้า (มักพบในผู้สูงอายุ) ภาวะกระดูกร้าวจากใช้งานเท้ามากเกินไป (Stress fracture) จากปลายประสาทอักเสบ เช่น จากโรคเบาหวาน จากเท้าขาดเลือดจากปัญหาการไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหลอดเลือดขอดของขา หรือจากโรคหลอดเลือดอักเสบหรือแข็ง เช่น ในโรคเบาหวาน นอกจากนี้ คือการแบกรับน้ำหนักของเท้าจากโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน
สาเหตุอื่นที่พบได้ คือ เอ็น และ/หรือเนื้อเยื่อต่างๆของเท้าอักเสบจากใช้เท้ามากเกินเหตุ มีโรคข้ออักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ โรคเกาต์ มีปุ่มกระดูกงอกที่เท้า (มักพบในผู้สูงอายุ) ภาวะกระดูกร้าวจากใช้งานเท้ามากเกินไป (Stress fracture) จากปลายประสาทอักเสบ เช่น จากโรคเบาหวาน จากเท้าขาดเลือดจากปัญหาการไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหลอดเลือดขอดของขา หรือจากโรคหลอดเลือดอักเสบหรือแข็ง เช่น ในโรคเบาหวาน นอกจากนี้ คือการแบกรับน้ำหนักของเท้าจากโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการ ปวดเท้า คือ
·
พักการใช้งานเท้าจนกว่าอาการจะดีขึ้น
·
หลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักบนเท้า
·
พันผ้ายืด (Elastic
bandage) รอบเท้าเพื่อช่วยพยุงเท้า
·
เลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน
·
ยกเท้าให้สูงเมื่อนั่ง หรือนอน
·
กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol)
ควรพบแพทย์/แพทย์โรคกระดูกเมื่อ
·
ดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วอาการปวดเท้าไม่ดีขึ้นภายใน 3-4 วัน
·
เจ็บ/ปวดเท้ามากขึ้นเรื่อยๆ
·
เท้าบวม
·
นิ้วเท้าสีเขียวคล้ำ และ/หรือเท้าเย็นผิดปกติ
·
เท้ามีอาการของการอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน อาจมีไข้)
·
อาการปวดเท้าเกิดหลังมีอุบัติเหตุ เพราะอาจมีกระดูกเท้าร้าวได้
·
เมื่อเป็นโรคเบาหวาน เพราะอาจเป็นผลข้างเคียงจากโรค เช่น
ปลายประสาทอัก เสบ และ/หรือหลอดเลือดเท้าอักเสบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น