การรักษา ปวดบวมข้อเท้า ข้อเท้าเคล็ดอักเสบ กระดูกข้อเท้าเสื่อม
ปวดเท้า
เท้า เป็นโครงสร้างทางกายวิภาคศาสตร์ของสัตวหลายชนิด ใช้สำหรับการเคลื่อนที่ ในสัตว์หลายชนิดมีเท้าเป็นอวัยวะที่แยกออกต่างหากอยู่ปลายสุดของขาประกอบด้วยกระดูกหลายชิ้นรวมทั้งกรงเล็บ (claws) และเล็บ (nail) ฝ่าเท้าจะเป็นส่วนที่สำคัญมากอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นส่วนที่มีความสัมพันธ์กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เพราะฝ่าเท้าจะเป็นจุดรวมของปลายประสาทและเส้นเลือดจากส่วนต่างๆ ซึ่งจะสื่อสารโดยผ่านประสาทหรือต่อมน้ำเหลือง
โครงสร้างของเท้า
ท้าจะประกอบไปด้วยกระดูก 28 ชิ้น ต่อเข้ากับข้อเท้า มีกล้ามเนื้อที่เกาะมาจากขาท่อนล่างมาที่เท้า 13 มัด และกล้ามเนื้อภายในฝ่าเท้าอีก 19 มัด โครงสร้างของเท้ามีส่วนโค้งของฝ่าเท้าทั้งตามยาวและตามขวาง ทำให้เท้าสามารถรับน้ำหนักได้หลายเท่าของน้ำหนักตัว เท้ามีความแข็งแรงรับน้ำหนักไปที่ปลายเท้าได้ เช่น นักเต้นระบำบัลเล่ห์ และยังสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพพื้นผิวที่รองรับฝ่าเท้า เช่น เดินเท้าเปล่าบนพื้น
- เท้าส่วนหน้า จะประกอบไปด้วยนิ้วเท้า และกระดูกตรงส่วนฝ่าเท้า
- เท้าส่วนกลาง จะประกอบไปด้วยส่วนโครงของฝ่าเท้า
- เท้าส่วนหลัง จะเป็นส้นเท้า
ส่วนประกอบของเท้า
นอกจากนั้นเท้ายังประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเส้นเอ็นต่างๆมากกว่า 100 ชิ้นเพื่อเป็นตัวช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า plantar fascia และ Achilles tendon หรือเรียกอีกอย่างว่า เอ็นร้อยหวาย เป็นเส้นเอ็นที่สำคัญมากและเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาได้
เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ
เอ็นฝ่าเท้าอักเสบหมายถึงเอ็นที่ยึดระหว่างส้นเท้า และกรดูกนิ้วเกิดการอักเสบ ทำให้ปวดฝ่าเท้าเมื่อตื่นลุกขึ้นในตอนเช้า และก้าวเท้าลงพื้น และเกิดอาการปวดบริเวณฝ่าเท้า และส้นเท้าแต่หลังจากเดินไป 3-4 ก้าวอาการปวดดีขึ้น แสดงว่าคุณเป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบหรือที่เรียกว่า plantar fasciitis หมายถึงคุณได้ใช้เท้าทำงานมากเกินไป มีการดึงรั้งของเอ็นใต้ฝ่าเท้า การวินิจฉัยทำได้โดยการซักประวัต ิและตรวจร่างกาย
กลไกการเกิดโรค
เอ็นฝ่าเท้าจะยึดระหว่างส้นเท้าและนิ้วเท้ามีหน้าที่รักษารูปทรงของเท้า และทำหน้าที่เหมือนสปริงสำหรับการลดแรงกระแทกเวลาเดินหรือวิ่ง และยังทำหน้าที่เป็นแรงส่งเมื่อเวลาวิ่ง
โครงสร้างของฝ่าเท้าประกอบไปด้วยเอ็นซึ่งเกาะกับกระดูกส้นเท้า(calcaneus)ไปยังนิ้วเท้าเราเรียกเอ็นนี้ว่า planta fascia เอ็นฝ่าเท้ามีหน้าที่รักษารูปทรงของเท้า และทำหน้าที่เหมือนสปริงสำหรับการลดแรงกระแทกเวลาเดินหรือวิ่ง และยังทำหน้าที่เป็นแรงส่งเมื่อเวลาวิ่ง
อลงมาดูภาพแสดงตำแหน่งของเอ็นฝ่าเท้าซึ่งเปรียบเสมือนสปริง เอ็นนี้จะได้รับแรงยึดมากที่สุดในขณะที่เดินเมื่อนิ้วหัวแม่เท่ากำลังเหยียดสุดๆ บริเวณที่ได้รับแรงดึงมากที่สุดคือตำแหน่งที่เอ็นเกาะติดกับกระดูกส้นเท้า ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มกระดูกบริเวณส้นเท้าซึ่งทำให้ปวดเวลายืนหรือเดิน เมื่ออักเสบเรื้อรังก็จะเกิดกระดูกงอก exostosis (bone spur)ซึ่งดังวงกลมในรูป
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค
- น้ำหนักเกิน
- ทำงานที่ต้องยืนหรือเดินบนพื้นแข็งๆ
- ออกกำลังกายวิ่งโดยที่ไม่ได้มีการยืดกล้ามเนื้อน่อง
- ฝ่าเท้าแบน หรือฝ่าเท้าโค้งเกินไป
- ท่าการเดินผิดไปคือเดินแบบเป็ด
- การใช้รองเท้าที่ไม่ถูกลักษณะ
อาการ
จะเริ่มต้นด้วยอาการปวดฝ่าเท้าเล็กน้อยแรกๆจะปวดหลังออกกำลังกาย ต่อมาจะปวดเวลาเดินหลังจากตื่นนอนเมื่อเดินไปสักพักอาการปวดจะดีขึ้น แต่หากเป็นมากจะปวดกลางวันร่วมด้วย การตรวจร่างกายพบว่าถ้ากดบริเวณกระดูกส้นเท้าดังรูปจะทำให้เกิดอาการปวดหากไม่รักษา อาจจะทำให้เกิดโรคข้อเท้า เข่าหรือหลังเนื่องจากทำให้การเดินผิดปกติ
การรักษา
การรักษาด้วยวิธีการทำกายภาพบำบัด
- ใช้อัลตร้าซาวหรือคลื่นเหนือเสียงในการลดอาการปวด
- ใช้ไฟฟ้าแรงดันสุญญากาศในการลดปวด IFC
- แผ่นร้อนหรือแผ่นเย็น
- ออกกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อ
- เมื่อมีอาการปวดให้พักการใช้งานหนักจนกระทั่งอาการปวดดีขึ้น
- ให้ลดน้ำหนักจนอาการปวดดีขึ้น
- สวมใส่อุปกรณ์ประคองข้อเท้าเพื่อลดแรงกระแทกและลดอาการบวมของข้อเท้า
***กาารักษาขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้ในแต่ละราย****
- ใช้ขวดใส่น้ำแช่จนแข็งประคบน้ำแข็งครั้งละ 20 นาทีวันละ 3 ครั้งเพื่อลดอาการอักเสบ
- เมื่อการอาการปวดเลยระยะอักเสบไปแล้วสามารถใช้น้ำอุ่นในการแช่ หรือ ถุงน้ำร้อนเพื่อวางประคบได้(ต้องไม่มีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน แล้ว)
- ใส่รองเท้าที่มีแผ่นรองกันการกระแทกโดยแผ่นดังกล่าวจะหนาด้านในและบางส่วนด้านนอก
- บริหารเอ็นร้อยหวายและเอ็นฝ่าเท้าที่บ้าน
การรักษาอื่นๆ
- การผ่าตัดแก้ไขความพิการของเท้าเช่น ฝ่าเท้าแบนราบหรือ โค้งเกินไป
- แพทย์จะให้ยากลุ่ม NSAID เช่น ibuprofen เพื่อลดการอักเสบบางรายอาจจะต้องให้นาน 6-8 สัปดาห์
- การฉีดยา steroid จะสงวนไว้ในรายที่ดื้อต่อการรักษาเบื้องต้น เพราะจะทำให้เกิดการอ่อนแอของเอ็นซึ่งอาจจะทำให้เอ็นขาด
- ใส่รองเท้าที่มีแผ่นรองกันการกระแทกโดยแผ่นดังกล่าวจะหนาด้านในและบางส่วนด้านนอก
- บริหารเอ็นร้อยหวายและเอ็นฝ่าเท้าที่บ้าน
ข้อเท้าแพลง (ankle sprain) เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่พบได้บ่อยอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเดินสะดุดก้อนหิน ขอบถนน หรือพื้นที่ไม่เรียบ หรือขึ้นลงบันไดแล้วพลาด เป็นต้น สำหรับในกลุ่มที่เล่นกีฬาก็พบได้บ่อยเช่นกัน จากการวิ่งแล้วล้มลง หรือปะทะกันแล้วล้มลง ข้อเท้าพลิกหรือข้อเท้าแพลงเป็นปัญหาที่พบบ่อยในนักกีฬาประเภทต่างๆ เช่น นักวิ่ง นักฟุตบอล นักกีฬายิมนาสติก เป็นต้น
สาเหตุ
คนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาก็สามารถพบได้บ่อยส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ใส่ส้นสูงเกิดเท้าพลิก ตกบันได อุบัติเหตุรถยนต์ ข้อเท้าแพลงเกิดจากเอ็นและเนื้อเยื่อรอบข้อเท้าได้รับการฉีกขาด อาจจะเป็นเพียงบางส่วน แต่ในรายที่รุนแรง เอ็นอาจจะฉีกทั้งเส้น ทำให้ข้อเท้าไม่มั่นคง การออกกำลังกาย ถ้าเราทำอย่างไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ ข้อเท้าแพลงเป็นหนึ่งในอุบัติเหตุที่เกิดจากการออกกำลังกายที่พบบ่อย การเกิดข้อเท้าแพลง เกิดจากการบิดของข้อเท้าที่เกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การหกล้ม หรือการวิ่ง ซึ่งอุบัติเหตุเหล่านี้ จะทำให้เส้นเอ็นบริเวณข้อเท้ามีการฉีก หรือการกระชากออก ทำให้เกิดอาการบวมและปวดของข้อเท้าตามมา
ข้อเท้าแพลงแบ่งตามความรุนแรงได้ 3 ระดับ คือ
ระดับ 1 : ข้อเท้าแพลงชนิดไม่รุนแรง คือ เอ็นถูกดึงหรือยืดมากเกินไป ทำให้เอ็นบาดเจ็บ แต่เส้นใยของเอ็นไม่ฉีกขาด มีอาการปวด บวม แต่น้อย
ระดับ2: ข้อเท้าแพลงชนิดรุนแรงปานกลาง คือ มีการฉีกขาดของเอ็นบางส่วน ทำให้ข้อเท้ามีความมั่นคงลดลง มีอาการปวด บวม เฉพาะที่ และอาจมีเลือดคั่ง
ระดับ3 : ข้อเท้าแพลงชนิดรุนแรง คือ มีการฉีกขาดของเอ็นข้อเท้าทางด้านนอกหมดทั้ง 3 เส้น ทำให้ข้อเท้าสูญเสียความมั่นคง มีอาการปวด บวมมาก และมีเลือดคั่ง อาจต้องผ่าตัด
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการปวดข้อเท้าจากการบาดเจ็บ
- Rest: ลดการใช้งานของข้อที่ได้รับบาดเจ็บ
- Ice: ในการประคบเย็น อาจจะใช้น้ำแข็งผสมน้ำใส่ถุงพลาสติกห่อด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่งหรือใช้ cold pack แล้ววางที่บริเวณที่บาดเจ็บโดยปกติสามารถวางได้นานถึง 20 นาที หรือจนมีความรู้สึกชา โดยให้ทำเช่นนี้ทุก 2-4 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 วัน
- Compress: ใช้ผ้ายืดพันรอบตั้งแต่โคนนิ้วเท้าจนถึงกลางหน้าแข้งโดยพันแน่นบริเวณส่วนปลายเพื่อลดบวม
- Elevation: นอนยกข้อเท้าข้างที่เจ็บสูงเหนือหัวใจโดยอาจนำหมอนมาหนุน เพื่อป้องกันของเหลวสะสม
การรักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด
1.การใช้ความร้อน หรือความเย็น เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ ได้แก่ การประคบร้อนหรือการประคบเย็น และ การใช้เครื่อง ultrasound ขึ้นอยุ่กับลักษณะอาการของคนไข้แต่ละคนและเทคนิคของนักกายภาพแต่ละบุคคล
2.การใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อลดอาการปวด ได้แก่ TENS IFC
3. การออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆข้อเท้า
4. การยืดกล้ามเนื้อ เพื่อลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆข้อเท้า
5.สวมใส่ที่พยุงข้อเท้า เพื่อหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนัก